เทศกาลดนตรี Glastonbury หนึ่งในเวทีที่ศิลปินและแฟนเพลงจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน กลายเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญของการแสดงพลังและความคิดเห็นต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางปีนี้ โดยเฉพาะประเด็นปาเลสไตน์-อิสราเอลที่ร้อนแรง เมื่อเสียงดนตรีและเสียงแห่งความยุติธรรมเดินทางขนาบข้างกันในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอารมณ์
เมื่อศิลปินใช้เสียงเพื่อสะท้อนความจริง
แทนที่ Glastonbury จะเป็นเพียงเวทีเฉลิมฉลอง ศิลปินหลายคนเลือกใช้เวลาบนเวทีนี้ประกาศจุดยืนต่อวิกฤตในฉนวนกาซา พูดอย่างเปิดเผยถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นและขอให้ผู้ชมตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น บางศิลปินถึงกับขอให้สายตาของโลกหันมามองเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับผู้ชมจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน แฟนเพลงเองก็ตอบรับด้วยการร่วมตะโกนและชูสัญลักษณ์สนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์อย่างพร้อมเพรียง
เสียงของผู้ร่วมงานเทศกาลดังกล่าว ไม่ได้เป็นแค่กระแสชั่วคราวเท่านั้น แต่มันสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ ที่พร้อมจะกล่าวถึงประเด็นทางสังคมในพื้นที่ที่ตนเองมีเสียง กลายเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะ ความบันเทิง และอุดมการณ์ในการเรียกร้องความยุติธรรม
ข้ามเส้นแบ่งระหว่างการแสดงและอุดมการณ์
น่าสนใจว่า เทศกาลดนตรีที่หลายคนมองว่าเป็นพื้นที่หนีจากโลกความจริง สุดท้ายกลับกลายเป็นเวทีแสดงออกทางการเมืองที่มีพลัง การที่ศิลปินเลือกพูดถึงเหตุการณ์ในฉนวนกาซา ไม่ใช่แค่เพื่อต้องการกระแส แต่เพราะต้องการใช้สถานะและชื่อเสียงของตนขับเคลื่อนกระแสสังคม ฉากหลังของเวทีกลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจถึงสถานการณ์จริงในอีกซีกโลก
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการแสดงออกด้านการเมืองผ่านงานศิลปะและดนตรีถูกยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือสำคัญของยุคสมัย หลายคนที่เคยเชื่อว่าวงการบันเทิงควรแยกจากการเมือง อาจต้องกลับมาทบทวนมุมมองดังกล่าว เพราะดนตรีเองสามารถเปลี่ยนทัศนคติและขยายขอบเขตของการรับรู้สังคมไปอย่างที่สื่ออื่นไม่อาจทำได้
พลังของฝูงชนกับการเปลี่ยนผ่านทางความคิด
ภาพผู้ชมหลายหมื่นคนส่งเสียงร้องเพลง ตะโกนข้อความสนับสนุน ปาเลสไตน์ หรือแม้กระทั่งถือป้ายข้อความในกลุ่มฝูงชน เป็นภาพที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกอย่างมาก ฉากเหล่านี้อาจสร้างแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายล้านคนทั่วโลกที่ติดตามข่าวสารทางสื่อสังคมออนไลน์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามักพบว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมเกิดขึ้นจาก “โมเมนต์” เล็ก ๆ ในพื้นที่สาธารณะ ก่อนจะขยายตัวเป็นขบวนการในวงกว้าง
สำหรับ Glastonbury ปีนี้, งานเทศกาลไม่ได้เป็นแค่จุดนัดพบของวงการเพลง แต่ยังเป็นแรงผลักดันใหม่ๆ ของสังคมนานาชาติที่เริ่มเข้าใจว่าตัวเองสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเด็นสิทธิมนุษยชนและประณามความอยุติธรรมได้ แม้จะอยู่ไกลจากพื้นที่ปัญหาจริงก็ตาม
ในบทวิเคราะห์ของผู้เขียน มองว่า เหตุการณ์ใน Glastonbury นั้นชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่การสื่อสารผ่านศิลปะสามารถปลุกพลังสังคมได้อย่างแท้จริง เมื่อเสียงดนตรี อารมณ์ และข้อความทางสังคมถักทอกันอย่างลงตัว มันสามารถดึงดูดใจผู้คนให้หันมาสนใจประเด็นที่เคยมองข้าม และกล้าที่จะตั้งคำถามต่อสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว
ท้ายที่สุด Glastonbury กลายเป็นเวทีที่ยืนยันให้เห็นว่า อำนาจอ่อนของศิลปะมีความหมายมากกว่าการสร้างความบันเทิง มันสามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ความเชื่อ และความฝัน ร่วมกันส่งเสียงถึงสันติภาพและความยุติธรรม แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงอาจต้องอาศัยเวลาและความพยายามอีกมาก แต่อย่างน้อยเสียงเหล่านี้ได้เริ่มก้องกังวานในหัวใจของคนทั้งโลกแล้วพร้อมสร้างศรัทธาว่า ดนตรีกับเสรีภาพไม่เคยห่างไกลกันเลย